อาชีพทางการเมืองในครีต ของ อีเลฟเทริออส เวนิเซลอส

ดูเพิ่มเติมที่: ประวัติศาสตร์ครีต

การลุกฮือของชาวครีตัน

เบื้องหลัง

การปฏิวัติหลายครั้งในครีต ในช่วงระหว่างและหลังสงครามประกาศอิสรภาพกรีซ (ค.ศ. 1821, 1833, 1841, 1858, 1866, 1878, 1889, 1895, 1897)[10] เป็นผลมาจากความปรารถนาของชาวครีตันสำหรับการทำอีโนซิส (Enosis) คือการรวมเข้ากับกรีซ[11] ในการปฏิวัติครีตปีค.ศ. 1866 ทั้งสองฝ่ายได้ทำข้อตกลงกันภายใต้แรงกดดันของมหาอำนาจ ซึ่งถึงที่สุดด้วยการทำข้อตกลงฮาเลปา หลังจากนั้นข้อตกลงได้ถูกรวมอบู่ในบทบัญญัติของสนธิสัญญาเบอร์ลิน ซึ่งในส่วนภาคผนวกได้มีการยอมให้กับชาวครีตันก่อนหน้านี้ เช่นใน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เป็นพื้นฐานของรัฐ (ค.ศ. 1868) ที่ร่างโดยวิลเลียม เจมส์ สติลแมน ในส่วนสรุปของข้อตกลงได้อนุญาตให้มีรัฐบาลชาวกรีกที่มีระดับขนาดใหญ่ในครีตเป็นวิธีการจำกัดความปรารถนาของพวกเขาที่จะลุกขึ้นต่อต้านเจ้านายออตโตมันของพวกเขา[12] แต่ชาวมุสลิมในครีต ผู้ซึ่งขึ้นตรงต่อออตโตมันตุรกี ไม่พอใจการปฏิรูปเหล่านี้ ในฐานะที่พวกเขาได้มองว่าการบริหารเกาะได้ถูกส่งผ่านไปยังมือของประชาชนชาวกรีกที่นับถือศาสนาคริสต์ ในทางปฏิบัติ จักรวรรดิออตโตมันมีความล้มเหลวในการบังคับใช้บทบัญญัติของข้อตกลง ดังนั้นจึงเป็นการเติมเชื้อไฟความตึงเครียดที่มีอยู่ระหว่างสองชุมชน ผู้มีอำนาจออตโตมันจะพยายามรักษาความสงบเรียบร้อยโดยการจัดส่งการเพิ่มกำลังทหารอย่างมากในช่วงค.ศ. 1880 - 1896 ตลอดระยะเวลานั้น ปัญหาชาวครีตัน ได้เป็นประเด็นหลักของความขัดแย้งในความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรกรีซกับจักรวรรดิออตโตมัน

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1897 ความรุนแรงและความวุ่นวายได้ทวีมากขึ้นบนเกาะ ทำให้เกิดการแบ่งเป็นสองขั้ว การสังหารหมู่ประชากรที่นับถือศาสนาคริสต์ได้เกิดขึ้นในชาเนีย[13][14][15][16]และเรทีมโน[16][17][18] รัฐบาลกรีกได้รับแรงกดดันจากประชาชน การไม่ยอมอ่อนข้อกับสถานะทางการเมือง กลุ่มชาตินิยมแบบสุดโต่งคือกลุ่มเอ็ทนีกิ เอไทเรเอีย (Ethniki Etaireia)ที่เกิดขึ้น[19] และความไม่พอใจที่มหาอำนาจไม่เต็มใจเข้าแทรกแซง ทำให้รัฐบาลกรีกได้ตัดสินใจที่จะส่งเรือรบและบุคลากรทางกองทัพเพื่อปกป้องชาวกรีกครีตัน[20] มหาอำนาจไม่มีทางเลือกอื่นและจะดำเนินการยึดครองเกาะ แต่ก็สายไปแล้ว กองทัพกรีกประมาณ 2,000 นายได้ขึ้นฝั่งที่โคลิมวารีในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1897[21] และภายใต้การบังคับบัญชาของพันเอกทีโมลีออน วัสซอส ได้ประกาศว่าเขายึดเกาะนี้ "ในนามของพระมหากษัตริย์แห่งเฮลลีนส์" และนั่นคือการประกาศรวมครีตเข้ากับกรีซ[22] สิ่งนี้ทำให้เกิดการลุกฮือขึ้นทั่วทั้งเกาะในทันที มหาอำนาจตัดสินใจปิดล้อมครีตด้วยกองทัพเรือและกองทัพบก ดังนั้นจึงสามารถหยุดกองทัพกรีกที่กำลังจะเข้าเมืองชาเนียได้[23]

เหตุการณ์ที่อาโกรตีรี

เวนิเซลอสในอาโกรตีรี ค.ศ. 1897

เวนิเซลอสในขณะนั้นได้เดินทางหาเสียงเลือกตั้งไปทั่วเกาะ ครั้งหนี่งเขา"เห็นคาเนียในเปลวเพลิง"[24] เขารีบเดินทางไปที่หมู่บ้านมาลาซา ใกล้เมืองคาเนีย ที่ซึ่งมีการเรียกประชุมพลกลุ่มกบฏประมาณ 2,000 คน และตั้งให้เขาขึ้นเป็นหัวหน้า เขาเสนอการโจมตีพร้อมๆกับกบฏคนอื่นๆโดยโจมตีกองทัพเติร์กที่อาโกรตีรีเพื่อที่จะขับไล่กองทัพออกไปจากที่ราบ (หมู่บ้านมาลาซาอยู่ในที่สูง) ปฏิบัติการของเวนิเซลอสที่อาโกรตีรีได้เป็นการกำหนดตำนานของเขา ผู้คนได้แต่งบทกวีถึงอาโกรตีรีและบทบาทของเขาที่นั่น มีบทบรรณาธิการและบทความที่กล่าวเกี่ยวกับความกล้าหาญของเขา วิสัยทัศน์และความอัจฉริยะทางการทูตของเขาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในความยิ่งใหญ่หลังจากนี้[13] เวนิเซลอสใช้เวลาทั้งคืนที่อาโกรตีรีและธงชาติกรีซได้ถูกเชิญขึ้น กองทัพออตโตมันได้ขอความช่วยเหลือจากผู้บัญชาการกองทัพเรือต่างชาติให้โจมตีกลุ่มกบฏ โดยกองเรือของมหาอำนาจได้ยิงถล่มฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏที่อาโกรตีรี ลูกปืนใหญ่ทำให้ธงร่วงหล่นลงมา ซึ่งธงได้ถูกเชิญขึ้นอีกครั้งในทันที มีการเล่าลือเชิงตำนานได้ประกาศถึงปฏิบัติการของเขาในเดือนกุมภาพันธ์นั้น เป็นคำกล่าวต่อไปนี้

ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ [เขา]ได้ถูกสั่งจากผู้บัญชาการเรือให้ลดธงลง และให้สลายกองทัพกบฏ เขาปฏิเสธ![25]
เวนิเซลอสมุ่งหน้าสู่ท่าเซาดา ที่ซึ่งเรือรบจอดทอดสมออยู่และเขาได้อธิบายว่า "คุณมีปืนใหญ่ ก็ยิงไป! แต่ธงของเราจะไม่ลดลงมา"... [หลังจากธงถูกยิง] เวนิเซลอสได้วิ่งไปข้างหน้าแต่เพื่อนของเขาได้หยุดเขาไว้ ทำไมถึงเสี่ยงชีวิตที่มีค่าอย่างไร้ประโยชน์ด้วยเล่า?[26]
เป็นวันที่สำคัญในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1897 เมื่อ...เขาปฏิเสธคำสั่งของมหาอำนาจผู้ปกครองและมีวลีที่งดงามในหนังสือพิมพ์กรีกว่า "ท้าทายกองทัพเรือแห่งยุโรป"[27]
ภายใต้การทูตที่ราบรื่นของวันนี้คือ นักปฏิวัติ ผู้ซึ่งแหย่ให้พวกเติร์กออกจากเกาะครีต และหัวหน้าผู้กล้าซึ่งพักอยู่กับกลุ่มกบฏน้อยๆบนยอดเนินเขาคาเนีย และเขาทำการท้าทายกงสุลและกองทัพเรือของทุก[มหา]อำนาจ![28]

ในเย็นวันเดียวกันกับการยิงปืนถล่ม เวนิเซลอสได้เขียนข้อความประท้วงไปยังผู้บัญชาการกองทัพเรือต่างชาติ ซึ่งลงนามโดยหัวหน้าทั้งหมดที่อยู่ที่อาโกรตีรี เขาเขียนว่ากลุ่มกบฏจะคงรักษาฐานที่มั่นไว้จนกว่าทุกๆคนถูกฆ่าโดยการสุนปืนใหญ่ของกองทัพเรือยุโรปจนหมดสิ้นแล้วเพื่อจะไม่ยอมให้พวกเติร์กยังคงดำรงอยู่ในครีต[29] ข้อความได้รั่วไหลอย่างจงใจไปยังหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ ซึ่งได้สร้างความรู้สึกทั้งในกรีซและในยุโรป ที่ซึ่งมีความคิดในเรื่องของชาวคริสต์ ผู้ต้องการเสรีภาพของเขา ได้ถูกโจมตีโดยกองทัพเรือของชาวคริสต์ด้วยกัน ทำให้เกิดความขุ่นเคืองเป็นอันมาก ความเห็นใจทั่วทั้งยุโรปตะวันตกต่อคริสต์ศาสนิกชนในครีตได้เป็นที่ประจักษ์และได้เกิดเสียงปรบมือสรรเสริญแก่ชาวกรีกเป็นจำนวนมาก[23]

สงครามในเทสซาลี

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อนี้ โปรดดู สงครามกรีซ-ตุรกี (1897)
องค์ประกอบทางชาติพันธ์ของคาบสมุทรบอลข่าน ตามแผนที่ Atlas Général Vidal-Lablache, Librairie Armand Colin, ปารีส, ค.ศ. 1898

มหาอำนาจได้ส่งบันทึกข้อความทางวาจาไปยังรัฐบาลกรีซและจักรวรรดิออตโตมันในวันที่ 2 มีนาคม เพื่อเสนอหนทางที่เป็นไปได้ในการแก้ไข "ปัญหาครีตัน" ซึ่งครีตจะกลายเป็นรัฐอิสระภายใต้อำนาจของสุลต่าน[8] ทางประตูวิจิตรของออตโตมันได้ตอบรับในวันที่ 5 มีนาคม โดยยอมรับข้อเสนอในหลักการ แต่ในวันที่ 8 มีนาคม รัฐบาลกรีซได้ปฏิเสธข้อเสนอที่ไม่น่าพอใจและยืนยันว่าการรวมครีตเข้ากับกรีซคือหนทางเดียวเท่านั้น

เวนิเซลอสในฐานะที่เป็นตัวแทนของกองกำลังกบฏได้พบกับนายพลเรือของมหาอำนาจบนเรือรบรัสเซียในวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 1897 แม้ว่าจะไม่มีความคืบหน้าในการพบปะกันครั้งนี้ เขาได้ชักชวนให้นายพลพาเขาไปรอบเกาะภายใต้การคุ้มครองเพื่อสำรวจความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับคำถามว่าความเป็นอิสระหรือการรวมเป็นสหภาพเดียวกับกรีซ[30] ในขณะที่ประชากรชาวครีตันส่วนใหญ่แรกเริ่มสนับสนุนการรวมเป็นสหภาพ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเทสซาลีได้เปลี่ยนความคิดเห็นของประชาชนไปเป็นการเป็นรัฐอิสระโดยทันที

ในปฏิกิริยาต่อการกบฏในครีตและความช่วยเหลือที่ส่งมาจากกรีซ จักรวรรดิออตโตมันได้ย้ายกองทัพส่วนที่สำคัญในคาบสมุทรบอลข่านมายังทางตอนเหนือของเทสซาลี ใกล้กับพรมแดนกรีซ[31] กรีซได้ตอบรับด้วยการเสริมกำลังไปที่พรมแดนเทสซาลี อย่าไรก็ตาม ความผิดปกติของกองทัพกรีซ ที่ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มเอ็ทนีกิ เอไทเรเอีย (ผู้สนับสนุนแนวคิดกรีกเมกาลี) ได้ปฏิบัติการโดยไม่มีคำสั่งและบุกเข้าไปที่ด่านหน้าของกองทัพเติร์ก[32] ทำให้จักรวรรดิออตโตมันประกาศสงครามกับกรีซในวันที่ 17 เมษายน สงครามนี้เป็นหายนะของกรีซ ทหารเติร์กมีการเตรียมพร้อมดีกว่า โดยส่วนใหญ่เนื่องจากการปฏิรูปที่ผ่านมาที่ดำเนินการโดยชาวเยอรมันคือ บารอน ฟอน เดอ โกลทซ์ และกองทัพกรีซได้ล่าถอยภายในไม่กี่สัปดาห์ มหาอำนาจได้เข้าแทรกแซงอีกครั้งและได้มีการลงนามสนธิสัญญาสงบศึกในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1897[33]

ผลสรุป

องค์ประกอบทางชาติพันธ์ในบอลข่าน วาดโดยนักการทูตชาวกรีก เอียนนิส เกนนาดิอุส[34] ตีพิมพ์โดย English cartographer E. Stanford ในปีค.ศ. 1877

การพ่ายแพ้ของกรีซในสงครามกรีซ-ตุรกี ได้สูญเสียพื้นที่ขนาดเล็กที่เส้นพรมแดนเทสซาลีตอนเหนือและชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม 4,000,000 ปอนด์[33] ซึ่งกลายเป็นชัยชนะทางการทูต กลุ่มมหาอำนาจ (สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, รัสเซีย และอิตาลี) ตามมาด้วยเกิดการสังหารหมู่ในฮีราคลีออนในวันที่ 25 สิงหาคม[16][35][36]ได้กำหนดทางออกสุดท้ายของ "ปัญหาครีตัน" คือ ครีตได้ถูกประกาศเป็นรัฐอิสระภายใต้อำนาจของซูเซอเรนออตโตมัน

เวนิเซลอสมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหานี้ ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำกบฏครีตันแต่ยังเป็นนักการทูตที่เชี่ยวชาญโดยการสื่อสารกับนายพลเรือของมหาอำนาจบ่อยๆ[36] มหาอำนาจทั้งสี่ยอมรับการบริหารของครีต และเจ้าชายจอร์จแห่งกรีซ พระโอรสองค์ที่สองในพระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งกรีซ ทรงเป็นข้าหลวงใหญ่ โดยเวนิเซลอสดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมตั้งแต่ค.ศ. 1899 ถึงค.ศ. 1901[37]

รัฐอิสระครีต

สภาคณะกรรมการแห่งครีตที่ซึ่งเวนิเซลอสมีส่วนร่วมด้วย เขานั่งอยู่คนที่สองจากซ้าย

เจ้าชายจอร์จทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้าหลวงใหญ่แห่งครีตเป็นระยะเวลา 3 ปี[37] ในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1898 พระองค์ได้เสด็จมาถึงชาเนีย ที่ซึ่งทรงได้รับการต้อนรับอย่างคาดไม่ถึง ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1899 ข้าหลวงใหญ่ทรงแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารอันประกอบด้วยผู้นำชาวครีตัน เวนิเซลอสได้ดำรงเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและคณะกรรมการที่เหลือได้เริ่มต้นที่จะก่อตั้งรัฐขึ้นมา หลังจากที่เวนิเซลอสได้ผ่านตัวบทกฎหมายออกมาในวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1900 ความขัดแย้งระหว่างเขาและเจ้าชายจอร์จได้เกิดขึ้น

เจ้าชายจอร์จทรงตัดสินพระทัยเดินทางไปยังยุโรปและทรงประกาศจ่อประชาชนชาวครีตันว่า "เมื่อข้าพเจ้าเดินทางไปยุโรป ข้าพเจ้าจะทวงถามมหาอำนาจถึงเรื่องการผนวก และข้าพเจ้าหวังว่าจะประสบความสำเร็จได้ด้วยเครือข่ายครอบครัวของข้าพเจ้า"[38] แถลงการณ์นี้ทรงมีถึงประชาชนโดยไม่ผ่านการรับรู้หรือความเห็นชอบจากคณะกรรมการ เวนิเซลอสได้กล่าวว่าเจ้าชายทรงปฏิบัติพระองค์ไม่เป็นที่เหมาะสมในการที่ทรงให้ความหวังแก่ประชาชนในบางสิ่งบางอย่างที่เป็นไปไม่ได้ในขณะนั้น ซึ่งเป็นไปตามที่เวนิเซลอสคาดการณ์ไว้ ในช่วงที่เจ้าชายเสด็จประพาส มหาอำนาจได้ปฏิเสธตำร้องขอของพระองค์[37][38]

ความขัดแย้งยังคงเกิดขึ้นในประเด็นอื่นอีกเมื่อ เจ้าชายมีพระประสงค์ที่จะสร้างพระราชวัง แต่เวนิเซลอสได้คัดค้านอย่างแข็งขันเพราะนั่นหมายถึงการทำให้การปกครองจะถูกจัดการอย่างถาวร ชาวครีตันได้ยอมรับเพียงชั่วคราวจนกว่าจะพบทางออกสุดท้าย[37] ความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นที่ขุ่นเคืองมากขึ้นและเวนิเซลอสได้ยืนยันอีกครั้งในการลาออกจากตำแหน่งของเขา[39]

ในการประชุมคณะกรรมการบริหาร เวนิเซลอสได้แสดงความคิดเห็นว่าเกาะไม่ได้เป็นอิสระอย่างเป็นสาระสำคัญ ตั้งแต่กำลังทหารของมหาอำนาจยังคงอยู่และมหาอำนาจยังปกครองโดยผ่านตัวแทนคือเจ้าชาย เวนิเซลลอสแนะนำว่าครั้งหนึ่งระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าชายก็ต้องหมดไป จากนั้นมหาอำนาจควรจะเชิญคณะกรรมการซึ่งเป็นไปตามมาตรา 39 ของรัฐธรรมนูญ (ซึ่งถูกระงับในการประชุมที่โรม) ในการเลือกประมุขคนใหม่ โดยการนำเอาอำนาจของมหาอำนาจออกไป เมื่อกองกำลังทหารของมหาอำนาจถอนออกไปจากเกาะแล้วพร้อมกับผู้แทนของพวกเขา การรวมเข้ากับกรีซจะเป็นเรื่องง่ายที่จะสำเร็จ ข้อเสนอนี้ถูกแย่งนำไปใช้ประโยชน์โดยฝ่ายตรงข้ามของเวนิเซลอสที่กล่าวหาเขาว่า เขาอยากให้ครีตมีอำนาจอิสระ เวนิเซลอสโต้ตอบผู้กล่าวหาด้วยการยืนยันที่จะลาออกอีกครั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่าสำหรับเขามันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำงานร่วมกับสมาชิกของคณะกรรมการ เขามั่นใจในข้าหลวงใหญ่แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้าร่วมฝ่ายค้าน[37]

ในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1901 ในรายงาน เขาได้เปิดเผยเหตุผลที่บังคับให้เขาลาออกจากตำแหน่งเพื่อได้เป็นข้าหลวงใหญ่ แต่ข่าวได้ถูกแพร่ออกไป ในวันที่ 20 มีนาคม เวนิเซลอสถูกปลดเพราะ "เขาไม่ได้มีอำนาจในการสนับสนุนในความคิดที่ตรงข้ามกับของข้าหลวง"[37][40] ต่อจากนี้ เวนิเซลอสได้ยอมรับเป็นหัวหน้าฝ่ายตรงข้ามของเจ้าชาย ต่อไปอีกสามปี เขาดำเนินการทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองอย่างหนักจนการบริหารกลายเป็นอัมพาตจริงๆและเกิดความตึงเครียดครอบงำเกาะ ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1905 เกิดการปฏิวัติเทริโซ ที่ซึ่งเขาได้เป็นหัวหน้าผู้ก่อการ

การปฏิวัติเทริโซ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อนี้ โปรดดู กบฏเทริโซ
เวนิเซลอสในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20

ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1905 กลุ่มกบฏได้รวมตัวกันที่เทริโซและประกาศ "การรวมสหภาพทางการเมืองกับกรีซภายใต้รัฐธรรมนูญเสรีฉบับเดียว"[41] การแก้ไขปัญหาได้ถูกส่งไปยังมหาอำนาจ ที่ซึ่งกำลังถกเถียงถึงข้อตกลงชั่วคราวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งกำลังขัดขวางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาะ และทางออกเดียวในการแก้ไข "ปัญหาครีตัน" คือการรวมเข้ากับกรีซ ข้าหลวงใหญ่พร้อมความเห็นชอบจากมหาอำนาจได้ตอบไปยังกลุ่มกบฏว่าจะนำกำลังทหารเข้ามาปราบปราม[37] อย่างไรก็ตาม ผู้แทนหลายคนได้มาเข้าร่วมกับเวนิเซลอส กงสุลของมหาอำนาจหลังได้พบกับเวนิเซลอสที่มอร์นีส์โดยพยายามจะบรรลุข้อตกลงการเจรจา แต่ก็ไม่เป็นผล

การกล่าวคำปราศรัยของเวนิเซลอสในวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1905คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ของครีตในช่วงปีค.ศ. 1906 - 1907

คณะรัฐบาลปฏิวัติได้เรียกร้องว่าครีตควรจะมีระบอบการปกครองที่คล้ายคลึงกับรูเมเลียตะวันออก ในวันที่ 18 กรกฎาคม มหาอำนาจได้ประกาศกฎอัยการศึก แต่นั่นก็ไม่สามารถยับยั้งกลุ่มกบฏได้ ในวันที่ 15 สิงหาคม การประชุมประจำที่ชาเนียได้ลงมติเห็นชอบการปฏิรูปที่เวนิเซลอสเสนอมากที่สุด กงสุลของมหาอำนาจได้พบกับเวนิเซลอสอีกครั้งและยอมรับการปฏิรูปที่เขาเสนอ สิ่งนี้นำไปสู่จุดสิ้นสุดกบฏเทริโซ และการลาออกจากตำแหน่งของเจ้าชายจอร์จในฐานะข้าหลวงใหญ่ มหาอำนาจได้มอบหมายอำนาจในการเลือกข้าหลวงของเกาะคนใหม่แก่พระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งกรีซ ทำให้อำนาจในการปกครองโดยพฤตินัยของจักรวรรดิออตโตมันเป็นอันโมฆะ อดีตนายกรัฐมนตรีกรีซ อเล็กซานดรอส ไซมิส ได้ถูกเลือกให้เป็นข้าหลวงใหญ่ และเจ้าหน้าที่และนายทหารชั้นประทวนชาวกรีกได้รับอนุญาตให้ดำเนินการในองค์กรกองทหารครีต ทันทีที่องค์กรกองทหารได้รับการจัดตั้ง ทหารต่างชาติได้ถอนกำลังออกจากเกาะ นี้ถือเป็นชัยชนะส่วนบุคคลของเวนิเซลอส ที่ได้มีชื่อเสียงไม่เพียงแต่ในกรีซแต่ในยุโรปด้วย[37]

จากการปฏิวัติยังเติร์ก บัลแกเรียได้ประกาศเอกราชจากจักรวรรดิออตโตมันในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1908 และในวันถัดมา จักรพรรดิออสเตรีย จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟที่ 1 ทรงประกาศผนวกบอสเนียและเฮอร์เซโกวินา ด้วยเหตุการณ์เหล่านี้ ในวันเดียวกัน ชาวครีตันได้ลุกฮือขึ้น พลเรือนหลายพันคนในชาเนียและพื้นที่รอบๆได้ชุมนุมกัน ซึ่งเวนิเซลอสได้ประกาศรวมครีตเข้ากับกรีซ โดยมีการติดต่อกับรัฐบาลที่เอเธนส์ ไซมิสได้เดินทางไปยังกรีซก่อนที่จะเกิดการชุมนุม

การชุมนุมได้ถูกเรียกรวมพลขึ้นและประกาศความเป็นอิสระของครีต ข้าราชการได้สาบานตนต่อหน้าพระนามพระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งกรีซ ในขณะที่สมาชิกทั้งห้าของคณะกรรมการบริหารได้ถูกจัดตั้งขึ้น ด้วยอำนาจในการควบคุมเกาะนี้ในพระนามของพระมหากษัตริย์ และด้วยกฎหมายของรัฐกรีก ประธานคณะกรรมการคือ อันโตนิออส มิเชลิดากิส และเวนิเซลอสได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและการต่างประเทศ ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1910 ได้มีการประชุมครั้งใหม่และเวนิเซลอสได้รับเลือกให้เป็นประธานและจากนั้นคือนายกรัฐมนตรี ทหารต่างชาติทั้งหมดได้ออกไปจากครีตและอำนาจทั้งหมดได้ถ่ายโอนมายังรัฐบาลของเวนิเซลอส

แหล่งที่มา

WikiPedia: อีเลฟเทริออส เวนิเซลอส http://nla.gov.au/nla.news-article1612186 http://www.britannica.com/eb/article-9038873 http://www.britannica.com/eb/article-9052680 http://www.britannica.com/eb/article-9075030 http://books.google.com/?id=2-zAeObDX_gC http://books.google.com/?id=9HGRx8ZotiUC http://books.google.com/?id=FV_i8P0ZSWQC http://books.google.com/?id=FusZfTDXOpoC http://books.google.com/?id=H5pyUIY4THYC http://books.google.com/?id=KQEH4vvG0KwC